![]() |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
[หน้าแรก] [ภาพตั้งแสดง] [ปฏิบัติการ] บท12 เรื่องพันธุศาสตร์ประชากร (Population Genetics) หัวข้อของบทเรียน Population หมายถึงกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่ผสมพันธุ์กันได้ ตามทฤษฎีแล้วจะหมายถึงสิ่งมีชีวิตชนิด (species) เดียวกันหมด
ซึ่งอาจมีการดำรงชีวิตอยู่ในสภาพภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันหรือห่างไกลกันแต่ก็สามารถผสมพันธุ์กันได้อย่างอิสระ Species population ในธรรมชาติ มักจะอยู่ในสภาพภูมิศาสตร์ที่ไม่ต่อเนื่องกัน อาจมีสิ่งกีดขวางบางอย่าง ระยะห่างกัน
และปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้การผสมพันธุ์กันอย่างอิสระระหว่างทุก ๆ สมาชิกใน species เดียวกันไม่อาจเกิดขึ้นได้ สมาชิกมีแนวโน้มที่จะผสมกันเองในกลุ่มประชากรย่อย (subpopulation) ซึ่งเรียกว่า local populationหรือ
Mendelian population ซึ่งหมายถึงกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่มีการผสมพันธุ์ระหว่างกัน มีส่วนร่วมในการใช้แหล่งรวมของยีน(gene pool)เดียวกัน การส่งทอดลักษณะกรรมพันธุ์แบบพันธุศาสตร์ประชากร ตัวอย่างเช่น ประชากรแมลงหวี่ D.melanogaster ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่งมีลักษณะกรรมพันธุ์แบบต่างๆ ที่แปรปรวนไปตาม genotypeดังนี้ ลักษณะ Dominant (homozygous) p2 = 40% ลักษณะ Heterozygous 2pq = 40 % และลักษณะ Recessive q2 = 20% แมลงหวี่ในประชากรนี้จะผสมพันธุ์กันเองอย่างอิสระ(Random mating) โอกาสที่แมลงหวี่จะผสมพันธุ์กันมีได้ 6 แบบ เช่นp2x p2 = AA + AA ; p2 x 2pq = AA x Aa ; ..โอกาสแมลงหวี่จะผสมพันธุ์กัน และมีโอกาสเกิดลูกใน generation ต่อไป เป็นตามกฎเกณฑ์ของความน่าจะเป็น (probability) p2 = AA มีค่าในประชากร = 40% (40/100) = 0.4 2pq = Aa มีค่าในประชากร = 40% (40/100) = 0.4 q2 = aa มีค่าในประชากร = 20% (20/100) = 0.2 รวม = 100% = 1.0 โอกาสที่เกิดการผสมพันธุ์แบบ AA x Aa = 0.4 x 0.4 การผสมพันธุ์แบบนี้อาจเกิดจาก AA x Aa หรือ Aa x AA การผสมพันธุ์แบบ AA x Aa = 2(0.4 x 0.4) = 0.32 ลูกที่เกิดจากการผสมแบบ AA x Aa คือ AA และ Aa ในอัตราส่วน ? : ? การผสมแบบ AA x Aa = 0.32 ลูกที่เกิดมา เป็น AA = 0.32/2 = 0.16 Aa = 0.32/2 = 0.16 การผสมพันธุ์ในหมู่ประชากรอย่างอิสระแบบต่างๆ และโอกาสของลูกที่เกิดขึ้นจากการผสมพันธุ์เป็นดังนี้ Gene poolหมายถึงผลรวมของ allele ทั้งหมดของยีนทุกlocusในทุกสมาชิกที่มีการผสมพันธุ์ระหว่างกันในประชากร ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น gene pool ของยีนตำแหน่งหนึ่งที่มี 3 allele คือ A1, A2และ A3แต่ละสมาชิกที่เป็น diploid ก็จะมีเพียง2 allele ในแต่ละ locus สมมติให้ใน gene pool นี้มีความถี่ของยีนA1 = 0.40, A2 = 0.35และ A3 = 0.25ถ้ามียีน 100 ตัว ก็จะประกอบด้วย A1 40 ตัว A2 35 ตัว และ A3 25 ตัว Hardy Weinberg Law [บน] ในปี ค.ศ. 1908 G.H. Hardy นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ และนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ชื่อ W. Weinbergต่างศึกษาค้นคว้าปัญหาทางคณิตศาสตร์ออกมาพร้อมๆ กัน ซึ่งมีผลต่อมารวมเรียกว่า Hardy Weinberg Law ซึ่งเป็นทฤษฎีที่แสดงถึงสภาพสมดุลของปริมาณของgene ในประชากรนั้น เมื่อประชากรมีขนาดใหญ่และผสมพันธุ์กันแบบอิสระ มีเหตุผล ดังนี้ ณ ประชากรขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่ทำการผสมแบบอิสระและกำหนดให้ ค่าของ gene ต่างๆ ในประชากรเป็นดังนี้ p = ค่าของ gene A (gene frequency of A) q = ค่าของ gene a (gene frequency of a) และ p + q = 1 ประชากรนี้จะอยู่ในสมดุลย์ (equilibium) เมื่อสัดส่วนของประชากรในกลุ่มนั้นเป็นดังนี้ Homozygous Dominant : D = p2 Heterozygous : H = 2pq Recessive : R = q2 D + H + R = p2 + 2pq + q2 หรือ H2 = 4DR เมื่อประชากรอยู่ในสมดุล และมีการผสมพันธุ์กันต่อไปอีกกี่ชั่ว (generation) ก็ตาม ประชากรจะอยู่ในสภาพสมดุลเสมอ แสดงรายละเอียดของการผสมแบบสุ่มดังตารางต่อไปนี้สรุป Genotype และ Phenotype ของลูกจากMonohybrid Cross
การผสมพันธุ์ และ โอกาสของลูกที่เกิดแบบต่างๆ [บน]
D (p2 ) = 36% H (2pq) = 48% R (q2) = 16% ผลจากการผสมพันธุ์แบบอิสระได้ผล D = 36% ; H = 48% และ R = 16% เมื่อปล่อยให้ลูกที่เกิดมา ผสมพันธุ์กันอย่างอิสระต่อไป โอกาสของการผสมพันธุ์และโอกาสของลูกที่เกิดขึ้นเป็นดังนี้ ผลของการผสมพันธุ์แบบอิสระได้ลูกที่เกิดมาในช่วงต่อไป เป็น D = 36% ; H = 48% และ R = 16% ซึ่งมีค่าเท่ากับช่วงที่แล้วมา ดังนั้นถ้าปล่อยให้ผสมแบบอิสระต่อไปผลของลูกที่เกิดมาในช่วงต่อไปจะคงที่เท่าเดิม สภาพปรากฎการณ์ของลักษณะกรรมพันธุ์ต่างๆ ที่คงที่อยู่ในช่วงต่างๆ นี้ แสดงถึงสภาพสมดุ ลของปริมาณของ gene ในประชากรนั้น นอกจากนั้นในประชากรที่เป็นdiploidและสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศจะมีความถี่ของgenotypeอยู่ในสภาพสมดุล ถ้าประชากรนั้นมีการผสมพันธุ์แบบสุ่ม (random mating) มีขนาดใหญ่ ไม่มี mutation ไม่มีการอ พยพ และไม่มีการคัดเลือก เกิดเป็นกฎที่เรียกว่า Hardy-Weinberg Lawและเรียกสมดุลนี้ว่า Hardy-Weinberg equilibriumหรือ genetic equilibrium ซึ่งได้แก่ (1) ความถี่ของ allele สมดุล (2) ความถี่ของ genotype สมดุล โดยความถี่ของalleleจะเป็นตัวกำหนดความถี่ของ genotypic ถ้าสมดุลถูกรบกวนจะกลับคืนมาอีกหลังจากมีการผสมพันธุ์แบบสุ่มผ่านไป 1 ชั่วรุ่น ดังนั้น Hardy-Weinberg Law จึงเป็นการศึกษาพันธุกรรมของประชากรหนึ่งที่มีการผสมพันธุ์กันแบบสุ่ม(random matings) พบว่าจะมีความถี่ของยีนและยีโนไทป์อยู่ในสภาพสมดุล เมื่อประชากรนั้นมีขนาดใ หญ่ ไม่มีการเกิดการกลายพันธุ์ ไม่มีการอพยพ และไม่มีการเกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ความถี่ของยีนหรืออัลลีลและความถีของยีโนไทป์อาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งแต่แรกอยู่ในสภาพสมดุล จะกลับคืนมาสู่ค วามสมดุลอีกครั้งหลังจากมีการผสมพันธุ์แบบสุ่มผ่านไปหนึ่งชั่ว (generation) ซึ่งความสมดุลของความถี่ของยีนและยีโนไทป์นี้เรียกว่าHardy-Weinberg Equilibrium กฎของ Hardy-Weinbergแสดงให้เห็นว่าที่สมดุลความถี่ของgenotypeจะขึ้นกับความถี่ของalleleความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ของalleleและความถี่ของgenotypeของยีนที่ตำแหน่งใด ๆ ที่มี 2 allele แสด งไว้ในภาพที่ 2 ซึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ ดังนี้ (1) ความถี่สูงสุดของ heterozygoteคือ0.5 ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อความถี่ของ A และ a เท่ากัน คือ เท่ากับ0.5 (2) ถ้าความถี่ของยีนอยู่ระหว่าง 0.33 และ 0.66 heterozygoteจะมีจำนวนมากที่สุด (3) เมื่อความถี่ของ alleleหนึ่งมีค่าน้อย homozygote ของ allele นี้จะเป็น genotype ที่มีความถี่น้อยที่สุด แสดงการสมดุลทางพันธุกรรมในประชากรที่มีการผสมพันธุ์แบบสุ่มหลัง จากผ่านไป 1 ชั่วรุ่น ดังแสดงในตารางด้านล่างนี้
ตัวอย่างการหาความถี่ของอัลลีลและยีโนไทป์ ซึ่งแสดงการคำนวนหาค่าความถี่ของยีนเป็นไปตามลักษณะการทำงานของยีนหลายแบบ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ (1) Codominance [บน] เป็นลักษณะที่หาค่าความถี่ของยีนได้ง่าย เนื่องจากแต่ละ genotype จะมี phenotype ของตัวเอง เช่นลักษณะM-N blood type ตัวอย่าง ในการศึกษาคนอเมริกัน 6,129 คนที่อยู่ใน New York City, Boston และ Columbus, Ohio พบว่า
สามารถหาค่าความถี่ของallele LMและ LN ได้ดังนี้ ให้ p = ความถี่ของ allele LM q = ความถี่ของ allele LN ดังนั้น p = (2 x 1,787) + 3,039 = 0.5395 q = (2 x 1,303) + 3,039 = 0.4605 ความถี่ของ LMและLNอาจคำนวนจากความถี่ของgenotypeก็ได้ กฎของ Hardy-Weinbergสามารถนำมาใช้หาได้ว่าประชากรอยู่ในสมดุลหรือไม่ โดยถือว่าประชากรที่อยู่ในสมดุลจะมีความถี่ของ genotype เท่ากับ p2 + 2pq + q2 ในประชากรที่สามารถคำนวนหาค่าความ ถี่ของยีนด้วยวิธีดังกล่าวข้างต้น จะใช้การทดสอบ Chi-squareเพื่อตรวจสอบความสมดุลของประชากร (2) Complete dominance [บน] เป็นลักษณะที่ heterozygote แสดงเหมือนกับ homozygous dominance ดังนั้นการหาค่าความถี่ของยีนจึงเริ่มต้นหาได้จากลักษณะ recessive ก่อน ตัวอย่าง ลักษณะการรู้รสของสาร PTC เกิดจากการควบคุมของยีน1 คู่ โดย taster (T) เป็น dominance ต่อ nontaster (t)จากการทดสอบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจำนวน228 คน พบว่าเป็นtaster 160 คน และ nontaster 68 คน จงหาค่าความถี่ของ allele T และ t ให้ p = ความถี่ของ allele T q = ความถี่ของ allele t Nontaster (tt) 68คน คิดเป็นความถี่ 68/228 = 0.30 ดังนั้น q2 = 0.30 (ตามกฎของ Hardy-Weinberg) q = ?0.30 = 0.55 และ p = 1-q = 0.45 ความถี่ของ genotype ในประชากรนี้เมื่อมีการผสมพันธุ์แบบสุ่ม จะหาได้จาก binomial expansion p2 + 2pq + q2 นั่นคือ TT = p2 = (0.45)2 = 0.20 Tt = 2pq = 2(0.45)(0.55) = 0.50 Tt = q2 = (0.55)2 = 0.30 ในกรณีนี้ไม่สามารถใช้chi-squareทดสอบว่าประชากรอยู่ในสมดุลหรือไม่ เนื่องจากการหาความถี่ของ allele ได้มาจากการถือว่าประชากรนี้อยู่ในสมดุลแล้ว จึงให้ tt =q2 (3) Multiple allele [บน] ตัวอย่างการหาความถี่ของอัลลีลและยีโนไทป์ของลักษณะหมู่เลือดABO ซึ่งมียีนที่ควบคุมเป็นแบบมัลติเพิลอัลลีล โดยมีการถ่ายทอดพันธุกรรมของหมู่เลือดดังนี้ หมู่เลือด A IAIA, IAi มีการแสดงออกของgene IA และ i เป็นแบบ complete dominance หมู่เลือด B IBIB, IBi มีการแสดงออกของgene IB และ i เป็นแบบ complete dominance หมู่เลือด AB IAIB มีการแสดงออกของ gene IA และ IB แสดงออกเท่าๆ กัน เป็นแบบ Codominance หมู่เลือด O i เป็น recessive gene ดังนั้น ยีนที่ควบคุมหมู่เลือดมี 3 อัลลีล คือ IA IB และ i ในการหาความถี่ของยีน เมื่อ p + q + r = 1 ความถี่ของยีโนไทป์ในประชากรหลังจากมีการผสมพันธุ์แบบสุ่มจะเป็นดังนี้
วิธีการหาความถี่ของอัลลีลต่างๆ
จากนั้นสามารถหาค่าความถี่ยีโนไทป์ (genotypic frequency) ได้ นั่นคือ ความถี่ยีโนไทป์ = (p + q + r)2 = p2 + q2 + 2pq + 2pr + 2qr = 1 |