อย่างไรก็ตาม ป่าของไทยที่เหลืออยู่ก็ยังสามารถจัดแบ่งออกตามลักษณะสภาพพื้นที่และต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติดังนี้

1.
ป่าไม้ไม่ผลัดใบ ได้แก่ ป่าดงดิบ (ป่าดิบชื้น) ป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าสน ป่าพรุ ป่าชายเลนมักเป็นบริเวณที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยมากกว่า 200 ซม./ปี มีฤดูแล้งไม่ชัดแจ้ง เช่น ป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ป่าดิบเขาและป่าสนเขาพบบริเวณที่ราบสูงภูเขาทางภาคเหนือป่าดิบแล้งพบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนป่าพรุพบบริเวณที่เป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน พบมากที่จังหวัดนราธิวาส (ป่าพรุโต๊ะแดง) ป่าชายเลนพบบริเวณชายฝั่งที่มีดินเลนและมีน้ำทะเลท่วมถึงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อนุบาลสัตว์น้ำที่สำคัญ
2.
ป่าไม้ผสมผลัดใบ มีฤดูแล้งชัดเจน เช่น ป่าทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ มีใบไม้ร่วงทับถม และมักจะเกิดไฟป่าแบบไฟลามตามธรรมชาติในช่วงฤดูแล้ง ได้แก่ป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยมากกว่า 150 ซม./ปี ป่าเบญจพรรณมีทั้งที่มีและไม่มีไม้สักเป็นไม้เด่น หากป่ามีการแปรสภาพโดยถูกทำลายนั้นจะเกิดไม้ไผ่ขึ้นบริเวณกว้าง ส่วนป่าเต็งรังเป็นป่าเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นเดียวกับป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรังพบมากทั้งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในป่าเต็งรังจะไม่พบไม้ไผ่เลยยกเว้นไผ่เพ็กหรือหญ้าแพ็กที่เป็นไม้พื้นล่างและปรงตาลบัลฤาษีกระจายอยู่ทั่วไป