![]() |
![]() |
|
![]() |
||
บท3เรื่องการแบ่งเซลล์และนิวเคลียส ( Nucleus and Nuclear division) หัวข้อของบทเรียน การแบ่งเซลล์ [บน] ไมโตซิส (Mitosis) [บน] การแบ่งนิวเคลียสแบบmitosis ประกอบด้วย 4 ระยะ คือ prophase metaphase anaphase และ telophase ระยะ Prophase โครโมโซมมีลักษณะเป็นเส้นบางและยาว ประกอบด้วยโครมาติด 2 เส้นพันกัน และยึดติดกันที่ตำแหน่งเซนโตรเมียร์ (primary constriction or centromere region) โดยมีไคเนโตคอร์ (kinetochore)อยู่ตรงด้านข้างของแต่ละโครมาติด ขนาดของนิวคลีโอลัส (บริเวณที่มีการสร้าง RNA)เล็กลง เยื่อหุ้มนิวเคลียสเริ่มสลาย ระยะ Metaphase โครโมโซมเห็นชัดเจนที่สุด มีขนาดหนาเป็นแท่งเพราะเกิดการขดม้วนหนาขึ้น(condensation) มาเรียงเป็นแถวตามแนวศูนย์กลางของเซลล์ (equatorial plane หรือ metaphase plate) ในเซลล์พืชพบว่า เส้นใยสปินเดิล (spindle) ซึ่งประกอบด้วยเส้นไมโครทิวบูล (microtubules)เป็นจำนวนมากยึดโครโมโซมที่ตำแหน่งเซนโตเมียร์ โดยที่แต่ละข้าง (individual sister centromere) มีแผ่นไคเนโตคอร์ (kinetochore) ซึ่งสายไมโคทิวบูลสอดผ่านไคเนโตคอร์ไปยังแต่ละขั้วของเซลล์ ที่จุดปลายของแต่ละเส้นของไมโครทิวบูล มารวมกันเรียกบริเวณนี้ว่า microtubule-organizing center (MTOC) ระยะAnaphaseโครมาติดแยกกันตรงตำแหน่ง เซนโตเมียร์ เนื่องจากเกิดการหดตัวของเส้นสปินเดิล แต่ละโครมาติดก็คือแต่ละโครโมโซม ซึ่งแต่ละโครมาติดนี้จะเคลื่อนที่ไปยังแต่ละขั้วของเซลล์ ระยะTelophaseใน 1 เซลล์เห็น 2 นิวเคลียส โครโมโซมเป็นเส้นบาง เริ่มเห็นนิวคลีโอลัส เยื่อหุ้มนิวเคลียส และ cell plate การแบ่งไซโตพลาสซึมในเซลล์พืช ระยะที่เห็น cell plate ซึ่งเกิดขึ้นตรงกลางเซลล์ ขยายไปด้านข้างของผนังเซลล์เดิม ทำให้ไซโตพลาสซึมแบ่งแยกออกจากกัน และเห็น phragmoplastซึ่งเป็นส่วนของเส้นสปินเดิล ที่ยังคงค้างอยู่ตรงกลางเซลล์ แต่ในเซลล์สัตว์ จะคอดตรงกลางเป็นร่องแบบ furrow cleavage ในที่สุดจะได้เซลล์สองเซลล์ที่มีข้อมูลทางพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ เป็นการเพิ่มจำนวนเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ทำให้เกิดการเจริญเติบโตหรือซ่อมแซมเซลล์เดิม ไมโอซิส (Meiosis) [บน] ขั้นตอนต่างๆ ในไมโอซิส ประกอบด้วย Meiosis I และ II ดังนี้ Meiosis Iประกอบด้วยระยะต่างๆ คือ prophase I metaphase I anaphase I และ telophase I ในระยะ prophase I ประกอบด้วยระยะย่อยรวมถึง 5 ระยะคือ leptotene zygotene pachytene diplotene และ diakinesis โดยในแต่ละระยะมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ Prophase I - Leptotene เห็นโครโมโซมเป็นเส้นบางๆ ยังคงเห็นนิวคลีโอลัสและเยื่อหุ้มนิวเคลียส - Zygotene ยังคงเป็นโครมาติดเป็นเส้นบาง มีการจับคู่ของ homologous chromosomes ตลอดแนวความยาว ขั้นตอนนี้เรียกว่า synapsis ตัวอย่างเช่น หากเริ่มต้นจากเซลล์ 2n = 4 มี homologous pair อยู่ 2 คู่ แต่ละคู่มาจากโครโมโซมฝ่ายแม่ (maternal chromosome) 2 แท่ง และที่เหลือมาจากโครโมโซมฝ่ายพ่อ (paternal chromosome) ในระยะนี้จึงเห็นแต่ละ homologous pairs มี 4โครมาติด ซึ่งเรียกว่าไบวาเลนต์ หรือ tetrad ในระยะนี้จึงเห็นไบวาเลนต์อยู่หลายคู่ แต่ละไบวาเลนต์ที่มีการเข้าคู่ (synapsis) กัน จะมีโครงสร้างsynaptonemal complex ซึ่งเป็นโครงสร้างที่อยู่บริเวณด้านข้างระหว่างnonsister chromatids มาเข้าคู่กันจึงเป็นโครงสร้างช่วยยึดให้homologous ยึดติดกัน - Pachytene เส้นโครมาติดหดสั้นเข้า เริ่มการแลกเปลี่ยนพันธุกรรมระหว่างhomologous (nonsister chromatids) โดยการเกิด crossing over และเห็นจุด ไคเอสมา ที่เป็นจุดไขว้ระหว่าง nonsister chromatids - Diplotene ระยะนี้โครโมโซมมีความหนา เพราะเกิดจากการขดม้วนให้หนาขึ้น (condensation) จากนั้น ไบวาเลนต์ผละแยกจากกัน โดยเริ่มจากตำแหน่งเซนโตเมียร์ แต่ยังติดกันอยู่ที่จุดไคเอสมา (chiasma) ไคเอสมา คือรอยไขว้ของ nonsister chromatids แสดงให้เห็นว่ามีการเกิดคลอสซิงโอเวอร์ขึ้น หากระยะระหว่างยีน 2 ตำแหน่ง มีระยะห่างระหว่างกันมาก จะเกิดการแลกเปลี่ยนของยีนได้มากกว่ายีนที่มีระยะห่างระหว่างยีนน้อยกว่า ในขณะที่มีการแลกเปลี่ยนยีนระหว่าง 2 ตำแหน่ง จะเกิดกระบวนการ breakage และ rejoining ของดีเอ็นเอ โดยอาศัยกิจกรรมของเอนไซม์ DNA topoisomerase II - Diakinesis เห็นไบวาเลนต์ชัดเจน ไคเอสมาเคลื่อนไปอยู่ที่ปลายของโครโมโซม (termainalization) นิวคลีโอลัสและเยื่อหุ้มนิวเคลียสเริ่มสลาย Metaphase I ระยะนี้ ไบวาเลนต์มาเรียงอยู่ตรงบริเวณศูนย์กลางเซลล์ (equatorial plane) โดยที่ตำแหน่งเซนโตรเมียร์ของแต่ละ homologous chromosome อยู่ตรงส่วนนอกสุดและหันไปยังขั้วของเซลล์ ส่วนไคเอสมาซึ่งมีบางส่วนของ homologous pair จะวางตัวอยู่ในแนวตรงกลาง ไม่เห็นนิวคลีโอลัสและเยื่อหุ้มนิวเคลียส แต่เห็นเส้นสปินเดิลโยงจากขั้วเซลล์ผ่านไคเนโตคอร์ของแต่ละโครมาติดที่เป็น homologous chromosome Anaphase I โครโมโซมที่เหมือนกันของแต่ละไบวาเลนต์ เริ่มผละจากกันไปยังขั้วของเซลล์ โดยที่โครโมโซมแต่ละโครโมโซมที่ผละจากกันนี้ประกอบด้วยสองโครมาติด Telophase I โครโมโซมคลายเกลียวเป็นเส้นบาง เยื่อหุ้มนิวเคลียสเริ่มเกิดขึ้น เกิด cell plate ระหว่างนิวเคลียสทั้งสอง ทำให้ได้สองเซลล์ที่ขนาดเท่ากัน โดยแต่ละเซลล์มีจำนวนโครโมโซมหนึ่งชุด จากนั้นเซลล์จะเข้าสู่ระยะ meiosis II Meiosis II [บน] Interkinesis ระยะนี้ประกอบด้วยเซลล์ 2 เซลล์ ที่ได้จาก first meiotic division มีลักษณะคล้ายระยะ first telophase มาก แต่ไม่มีการจำลองตัวของโครโมโซม Prophase II โครโมโซมมีสองโครมาติดและแยกจากกัน แต่ยังยึดกันตรงตำแหน่งเซนโตรเมียร์เห็นเป็นรูปตัวX Metaphase II ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัส โครโมโซมพันเป็นเกลียว ทำให้มีความหนามากขึ้น (condensation) และเคลื่อนไปเรียงที่บริเวณศูนย์กลางของเซลล์ ในแนวตั้งฉากกับ Metaphase I Anaphase II ระยะนี้ โครมาติดแยกจากกันโดยการดึงของเส้นสปินเดิล (เกิดจากเส้นสปินเดิลหดตัว) ทำให้โครมาติด หมายถึง โครโมโซม 1 แท่ง ที่ประกอบด้วย 1 โครมาติด เคลื่อนไปสู่แต่ละขั้วของเซลล์ Telophase II ระยะนี้มีสี่นิวเคลียส โครโมโซมค่อยๆ คลายเกลียวออก เห็นนิวคลีโอลัส เยื่อหุ้มนิวเคลียส และยังมีส่วนสปินเดิลเหลืออยู่บ้าง Cytokinesisเป็นการแบ่งไซโตพลาสซึม อาจเกิดครั้งเดียวหรือสองครั้ง โดยมี cell plate กั้นระหว่างนิวเคลียส ผลสุดท้ายได้สี่เซลล์ (quartet) ซึ่งแต่ละเซลล์มีจำนวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่งของจำนวนเดิม และองค์ประกอบของสารพันธุกรรมแต่ละเซลล์ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ในพืชการแบ่งเซลล์แบบmeiotic cell division จะไม่ได้เซลล์สืบพันธุ์โดยตรง แต่ได้สปอร์ (meiospore) ซึ่งจะเจริญไปสร้างเซลล์สืบพันธุ์ภายหลัง คาริโอไทป์ (karyotype) [บน] เซลล์ร่างกายของสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปจะมีจำนวนโครโมโซมสองชุด(somatic chromosome number = 2n) เรียกว่า ดิพลอยด์ (diploid)ส่วนเซลล์สืบพันธุ์จะมีจำนวนโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ร่างกาย เรียกว่า แฮพลอยด์ (haploid) ในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างและจำนวนโครโมโซมที่เกิดขึ้นในเซลล์ต่างๆ เป็นการศึกษาทางเซลล์พันธุศาสตร์ (cytogenetics) ก่อนอื่นต้องศึกษาลักษณะรูปร่างของโครโมโซมโดยอาศัยตำแหน่งเซนโตรเมียร์แบ่งออกได้4 แบบได้แก่ (1) metacentric chromosome โครโมโซมที่มีตำแหน่งเซนโตรเมียร์อยู่กึ่งกลาง ทำให้แขนทั้งสองข้างของโครโมโซมมีความยาวเท่ากัน (2) submetacentric chromosome โครโมโซมที่มีตำแหน่งเซนโตรเมียร์ห่างจากกึ่งกลางออกไป ทำให้แขนทั้งสองข้างของโครโมโซมมีแขนสั้น (แขนข้างสั้นของโครโมโซมเรียกp) และแขนยาว (แขนข้างยาวของโครโมโซมเรียกq) ยาวไม่เท่ากัน (3) acrocentric chromosome โครโมโซมที่มีตำแหน่งเซนโตรเมียร์อยู่ใกล้ปลายข้างหนึ่ง ทำให้แขนทั้งสองข้างของโครโมโซมมีความยาวต่างกันมาก และอาจพบแขนด้านสั้นคอดแต่ตรงปลายโป่งเรียกว่า satellite (4) telocentric chromosome โครโมโซมที่มีตำแหน่งเซนโตรเมียร์อยู่ที่ปลายข้างหนึ่ง ทำให้มีแขนของโครโมโซมอยู่ทางฝั่งเดียวกัน
เมื่อนำภาพเซลล์ที่ถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งมีการแบ่งนิวเคลียสในระยะเมตาเฟส (metaphase) โครโมโซมมีขนาดใหญ่สั้น หนา และมีการกระจายของโครโมโซมดีมาจัดทำคาริโอไ ทป์ โดยนำเอาโครโมโซมที่เป็นคู่กัน (homologous chromosome) มาจัดเรียงกันตามลำดับ ไม่เฉพาะแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก ยังรวมไปถึงการจัดเรียงลำดับรูปร่างของโครโมโซมจาก metacentric submetacentric acrocentric และ telocentric ตามลำดับ ดังนั้นการจัดลำดับโครโมโซมตามขนาดและรูปร่างแบบนี้เรียกว่า คาริโอไทป์ |