กิจกรรมของมนุษย์นับเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมด้วยเช่นกัน มนุษย์เปลี่ยนแปลงสภาพป่า หรือท้องทุ่ง ให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม เป็นเมือง เป็นถนนหนทาง มนุษย์สร้างเขื่อนสร้างฝายเปลี่ยนที่ลุ่มเป็นทะเลสาบ เปลี่ยนเส้นทางไหลของน้ำ
มนุษย์นำพลังงานของโลกมาใช้ทั้งในรูปของพลังงานชีวภาพ ด้วยกระบวนการเกษตรกรรม ในรูปพลังงานเชื้อเพลิง ด้วยกระบวนการอุตสาหกรรม การเปลี่ยนสมดุลย์พลังงานที่มนุษย์ก่อขึ้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสมดุลย์ของสภาวะแวดล้อม กลายเป็นมลภาวะที่ก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อม ทำลายธรรมชาติ และย้อนกลับมาทำลายสุขอนามัยของมนุษย์ในที่สุด
การสำรวจธรรมชาติ อาจเกิดจากวัตถุประสงค์ด้านใดด้านหนึ่งดังนี้
เพื่อจะได้ทราบถึงสถานภาพของสภาวะแวดล้อมว่าอยู่ในสภาวะใด ช่วงเสื่อมโทรม ช่วงเสถียร
หรือช่วงพัฒนาการ เพื่อจะได้จัดการสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม พยายามสร้างสภาวะเสถียรให้กับธรรมชาติ
และป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อมนุษย์ วัตถุประสงค์ในลักษณะนี้เกิดจากสำนึกในความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ
ในฐานะที่มนุษย์เป็นผู้ที่ก่อกิจกรรม และสร้างอุปสงค์ต่อการใช้ทรัพยากรอย่างมาก
จึงต้องการใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อจะได้ทราบถึงขีดความสามารถในการนำทรัพยากรไปใช้
อันเกิดจากความต้องการแข่งขันในการเข้าใช้ทรัพยากรก่อนผู้อื่น ซึ่งเป็นแนวคิดในเชิงการขยายอิทธิพลที่พัฒนารูปแบบมาจากการทำสงครามแย่งทรัพยากรมาเป็นรูปแบบสงครามธุรกิจ
วัตถุประสงค์ในลักษณะนี้ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมต่างๆ
ของโลกมามากมาย อย่างไรก็ตามกระแสความคิดด้านนี้ยังเป็นด้านหลัก เพราะมนุษย์ยังไม่เจริญพอที่จะใช้เกณฑ์คุณธรรมมาวัดระดับการพัฒนาได้
จึงยังคงใช้เกณฑ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าการใช้กำลังอำนาจแบบโบราณเพียงเล็กน้อยมาเป็นดัชนีวัดการพัฒนาอยู่
ู่
คลื่นทสุนามิ (ภาษาญี่ปุ่น แปลว่าคลื่นยาวที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า)
เป็นคลื่นในทะเล ที่จัดเป็นคลื่นน้ำตื้น (มีความยาวคลื่นมากกว่าความลึกของน้ำ)
เกิดจากการเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลทำให้ระดับน้ำทะเลเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน คลื่นดังกล่าวจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อคลื่นเคลื่อนเข้าสู่ฝั่ง ความสูงของคลื่นจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
และสามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลันสร้างความเสียหายให้กับชีวิต และทรัพย์สินอย่างรุนแรงได้
ขั้นตอนพื้นฐานของการสำรวจธรรมชาติมักประกอบขึ้นด้วย
ขอบเขตเชิงพื้นที่ของสภาวะธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงที่สนใจ สภาวะธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาวะธรรมชาติที่สนใจอาจครอบคลุมพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรไปจนเป็นพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร
เช่นสภาวะความอุดมสมบูรณ์ของป่า การเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำในบ่อ
ในบึง หรือ ในอ่าว
การแพร่กระจายของโรคพืช เกิดขึ้นเป็นแปลง หรือลุกลามเป็นจังหวัด ฯลฯ
ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงที่สนใจ มีช่วงเวลานับแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดสั้นยาวอย่างไร เช่น การเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ
การเปลี่ยนแปลงทางธรณีมักใช้เวลาเป็นล้านปี การเปลี่ยนแปลงขยายตัวของเมืองจะสังเกตเห็นได้ชัดถ้ามีการสังเกตุเป็นรายปี การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำขึ้นน้ำลง เกิดขึ้นทุกวัน
เป็นต้น
ในการสำรวจดังกล่าว อาจเลือกแนวทางในการสำรวจ และตรวจวัดด้วยการลงสำรวจในพื้นที่ หรือด้วยการใช้เทคโนโลยีรีโมทเซนซิงช่วยในการสำรวจ หรือใช้ทั้งสองแนวทางผสมกัน
การสำรวจตรวจวัดในพื้นที่ (in situ
sensing) เป็นการสำรวจโดยผู้สำรวจนำเครื่องมือวัดเข้าไปในพื้นที่ที่ต้องการสำรวจ
เช่น เมื่อต้องการสำรวจคุณภาพน้ำทะเลก็สามารถดำเนินการได้โดยลงเรือสำรวจ แล้วออกไปตรวจวัดน้ำในทะเล
หรือการติดเครื่องมือวัดไว้กับทุ่นลอย แล้วใช้วิทยุส่งข้อมูลที่วัดได้มายังสถานีรับ การตรวจวัดความอุดมสมบูรณ์ของดิน ด้วยการใช้เครื่องมือวัดไปตรวจดินให้ทั่วพื้นที่ที่ต้องการศึกษา
การตรวจวัดด้วยเทคโนโลยีรีโมทเซนซิง (remote
sensing) เป็นการสำรวจจากระยะไกล โดยเครื่องมือวัดไม่มีการสัมผัสกับสิ่งที่ต้องการตรวจวัดโดยตรง กระทำการสำรวจโดยให้เครื่องวัดอยู่ห่างจากสิ่งที่ต้องการตรวจวัด
โดยอาจติดตั้งเครื่องวัดเช่น กล้องถ่ายภาพ ไว้ยังที่สูง บนบอลลูน บนเครื่องบิน
ยาวอวกาศ หรือดาวเทียม แล้วอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ หรือสะท้อนมาจากสิ่งที่ต้องการสำรวจเป็นสื่อในการวัด
เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีรีโมทเซนซิง มีองค์ประกอบที่จะต้องพิจารณาคือ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นรูปแบบหนึ่งการถ่ายเทพลังงาน
จากแหล่งที่มีพลังงานสูงแผ่รังสีออกไปรอบๆ
โดยมีคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ
ความยาวคลื่น(l) โดยอาจวัดเป็น nanometre (nm) หรือ micrometre (mm) และ ความถี่คลื่น(f) ซึ่งจะวัดเป็น hertz
(Hz) โดยคุณสมบัติทั้งสองมีความสัมพันธ์ผ่านค่าความเร็วแสง
ในรูป c = fl
พลังงานของคลื่น พิจารณาเป็นความเข้มของกำลังงานหรือฟลักซ์ของการแผ่รังสี (มีหน่วยเป็น
พลังงานต่อหน่วยเวลาต่อหน่วยพื้นที่ = joule s-1 m-2
= watt m-2) ซึ่งอาจวัดจากความเข้มที่เปล่งออกมา (radiance) หรือความเข้มที่ตกกระทบ(irradiance)
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถูกจำแนกออกตามย่านความยาวคลื่นต่างๆ จากคลื่นสั้นไปคลื่นยาวดังนี้คือ
ประเภท |
ความยาวคลื่น
|
ความถี่
|
อัลตราไวโอเลต (ultraviolet) |
100 A -
|
750
|
คลื่นแสง (visible light) |
0.4 -
|
430
|
อินฟราเรด (infrared) |
||
อินฟราเรดใกล้ (near IR) |
0.7 - 1.3 mm
|
230
|
อินฟราเรดคลื่นสั้น (shortwave IR) |
1.3 -
|
38
|
อินฟราเรดความร้อน (thermal IR) |
8 -
|
22
|
อินฟราเรดไกล (far IR) |
14 -
|
0.3
|
คลื่นวิทยุ (radio wave) |
||
ไมโครเวฟ (microwave) |
0.1 -
|
0.3 THz
|
คลื่นสั้น (HF) |
1 mm -
100 m
|
3
|
คลื่นกลาง (MF) |
0.1 -
|
0.3
|
คลื่นยาว (LF) |
1 -
|
30 300 KHz
|
คลื่นยาวมาก (VLF) |
10 -
|
3 30 KHz
|
ความยาวช่วงคลื่นและความเข้มของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของแหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น ดวงอาทิตย์ มีอุณหภูมิ 6000 K จะแผ่พลังงานในช่วงคลื่นแสงมากที่สุด วัตถุต่างๆ บนพื้นโลกส่วนมากจะมีอุณหภูมิประมาณ
300 K จะแผ่พลังงานในช่วงอินฟราเรดความร้อนมากที่สุด
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศ
จะถูกโมเลกุลอากาศ และฝุ่นละอองในอากาศดูดกลืน และขวางไว้ทำให้คลื่นกระเจิงคลื่นออกไป คลื่นส่วนที่กระทบถูกวัตถุจะสะท้อนกลับ
และเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศมาตกสู่อุปกรณ์วัดคลื่น
เนื่องจากวัตถุต่างๆ มีคุณสมบัติการสะท้อนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ช่วงคลื่นต่างๆ
ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงสามารถใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการสำรวจจากระยะไกลได้ รูปต่อไปนี้แสดงลักษณะการสะท้อนแสงเปรียบเทียบระหว่างวัตถุต่างชนิดกันที่ช่วงคลื่นต่างๆ
กัน
ความสามารถในการสะท้อนแสงของวัตถุต่างๆ บนพื้นโลกสามารถสรุปได้ดังนี้
เครื่องมือวัดในเทคโนโลยีรีโมทเซนซิงคือเครื่องมือที่วัดพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เครื่องมือซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีคือกล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายวีดีโอ และเรดาร์ โดยเครื่องมือวัดจะประกอบด้วยส่วนสำคัญสามส่วนคือ
ในส่วนของเครื่องมือวัดยังมีส่วนที่จะต้องพิจารณาอีกส่วนหนึ่งคือแหล่งกำเนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้ในการสำรวจ โดยจำแนกได้เป็นสองกลุ่มคือ
Active sensor เป็นระบบที่เครื่องมือวัดเป็นแหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเองด้วย ในระบบรีโมทเซนซิงที่วัดจากระยะไกลมาก คลื่นกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้จะจำกัดอยู่ในช่วงคลื่นวิทยุเท่านั้น เนื่องจากปัญหาของแหล่งพลังงาน
Passive sensor เป็นระบบที่อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดอื่น
เช่นใช้แสงจากดวงอาทิตย์ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สิ่งที่ต้องการสำรวจแผ่รังสีออกมาเอง
(มักจะเป็นช่วงอินฟราเรดความร้อน) ในกรณีที่ใช้แสงจากดวงอาทิตย์ เครื่องมือวัดจะทำงานได้เฉพาะในเวลากลางวันเท่านั้น
นอกจากการศึกษารูปแบบของเมฆในทางอุตุนิยมวิทยา การตรวจวัดยังต้องการท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง
ไม่มีเมฆ หรือฝนในช่วงที่ทำการตรวจวัดด้วย
เพื่อให้เครื่องมือวัดอยู่ห่างจากสิ่งที่ต้องการสำรวจ จึงมักติดตั้งเครื่องมือวัดไว้ในที่สูง ซึ่งอาจเป็นการติดตั้งเครื่องมือไว้บนเสาสูง ยอดตึก หรือบนภูเขา ซึ่งการติดตั้งในลักษณะนี้จะมีข้อดีคือสามารถตรวจวัดเฝ้าระวังสิ่งที่สนใจได้อย่างต่อเนื่อง แต่มีข้อจำกัดที่การตรวจวัดจะมีขอบเขตพื้นที่คงที่ตามตำแหน่งที่ติดตั้งเครื่องมือวัดเท่านั้น
การติดตั้งเครื่องมือสำรวจด้วยเทคโนโลยีรีโมทเซนซิงมักติดตั้งบนพาหนะที่ลอยได้ ซึ่งอาจเป็นบอลลูน เครื่องบินบังคับ เครื่องบินขนาดเล็ก เครื่องบินที่มีพิสัยการบินสูง ยานอวกาศ หรือดาวเทียม
ยานสำรวจ |
ระดับความสูง |
ลักษณะการสำรวจ |
ดาวเทียมค้างฟ้า |
500 - 36,000 กม. |
สำรวจแบบประจำ มีจุดสำรวจคงที่ |
ดาวเทียมโคจรรอบโลก |
500 3000 กม. |
สำรวจแบบประจำ ครอบคลุมพื้นที่กว้าง |
ยานอวกาศ |
240 350 กม. |
สำรวจตามภารกิจ |
เครื่องบินไอพ่น |
10 12 กม. |
พื้นที่สำรวจกว้างมาก ต้องการรายละเอียดปานกลาง |
เครื่องบิน |
500 8,000 ม. |
พื้นที่สำรวจกว้าง ต้องการรายละเอียดมาก |
บัลลูน |
< 800 ม. |
พื้นที่สำรวจไม่กว้าง ต้องการรายละเอียดมาก |
เครื่องบินบังคับด้วยวิทยุ |
< 500 ม. |
พื้นที่สำรวจไม่กว้าง |
เสาสูง ยอดตึก ภูเขา |
< 300 ม. |
จุดสำรวจคงที่ พื้นที่สำรวจเล็กๆ |
นอกจากดาวเทียมแล้ว ยานสำรวจที่เหลือจะเป็นการบินสำรวจตามภารกิจที่ต้องมีการกำหนดเส้นทางบิน และระดับความสูงการบินเฉพาะ ช่วงเวลาในการสำรวจจะจำกัดตามความจุเชื้อเพลิงของยานพาหนะที่เลือกใช้ ดังนั้นช่วงเวลา และพื้นที่สำรวจมักครอบคลุมบริเวณใดบริเวณหนึ่งตามที่กำหนดโดยภารกิจการสำรวจเท่านั้น
ส่วนการใช้ดาวเทียมเป็นยานสำรวจ จะมีข้อดีคือดาวเทียมอาศัยหลักการสมดุลระหว่างแรงหนีศูนย์กลางและแรงดึงดูดของโลกมาเป็นตัวรักษาวงโคจรของดาวเทียม (แทนที่จะใช้เชื้อเพลิงมาขับเคลื่อนไม่ให้ยานตกลงสู่พื้นโลก) ดาวเทียมจึงไม่มีข้อจำกัดในด้านความจุเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่ของดาวเทียม และทำให้ดาวเทียมสามารถโคจรรอบโลกอยู่ได้นานทำให้การสำรวจสามารถครอบคลุมเวลาได้นานเป็นปีๆ และสามารถเลือกพื้นที่ที่จะให้ดาวเทียมบินสำรวจได้ครอบคลุมพื้นที่กว้าง โดยขึ้นอยู่กับวงโคจรที่จะให้ดาวเทียมเคลื่อนที่
การสำรวจด้วยรีโมทเซนซิงมีการใช้วงโคจรของดาวเทียม 2 ลักษณะสำคัญคือ
วงโคจรแบบค้างฟ้า (geostationary
orbit) |
|
ดาวเทียมจะปรากฏเหมือนอยู่นิ่งเมื่อสัมพัทธ์กับตำแหน่งบนพื้นโลก ดาวเทียมโคจรในทิศเดียวกับการหมุนรอบตัวเองของโลก มีระนาบการโคจรอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตร และมีความสูงประมาณ 36,000 กิโลเมตร ตำแหน่งของดาวเทียมสัมพัทธ์กับตำแหน่งบนพื้นโลกจะเสมือนว่าดาวเทียมอยู่นิ่งค้างอยู่บนฟ้าตลอดเวลา จึงเรียกดาวเทียมที่มีลักษณะวงโคจรเช่นนี้ว่า ดาวเทียมค้างฟ้า (geostationary satellite) ดาวเทียมด้านอุตุนิยมวิทยาที่ใช้ศึกษา และสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโดยดูจากรูปทรงและการเคลื่อนตัวของเมฆ จะใช้วงโคจรลักษณะนี้ ตัวอย่างเช่น ดาวเทียม GMS ของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนั้นดาวเทียมสื่อสารจำนวนมาก เช่น ดาวเทียมปาลาป้า ดาวเทียมของ StarTV รวมทั้ง ดาวเทียมไทยคม ของบริษัทชินวัตร ก็ใช้วงโคจรแบบ geostationary เช่นกัน
|
|
วงโคจรแบบใกล้แกนหมุนของโลก (near
polar orbit) |
|
ระนาบของวงโคจรของดาวเทียมจะอยู่ในทิศใกล้เคียงกับแนวแกนหมุนของโลก โดยดาวเทียมอาจอยู่ที่ระดับความสูงใดก็ได้ที่ความเสียดทานของบรรยากาศมีน้อยจนไม่สามารถทำให้ความเร็วของดาวเทียมลดลง ดาวเทียมสำรวจส่วนมากจะมีวงโคจรในลักษณะนี้ โดยจะมีการกำหนดระดับความสูง และมุมของระนาบวงโคจรเทียบกับแนวเส้นศูนย์สูตร ที่เหมาะสม (โดยมากจะมีความสูงประมาณ 700-1000 กิโลเมตร และมีมุมเอียงประมาณ 95 100 องศา จากระนาบศูนย์สูตร) ตัวอย่างเช่น ดาวเทียม Landsat (สหรัฐอเมริกา) SPOT (ฝรั่งเศส) ADEOS (ญี่ปุ่น) INSAT (อินเดีย) RADARSAT (แคนาดา) ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร เช่น ดาวเทียมอีริเดียม
ใช้วงโคจรในลักษณะนี้ แต่จะมีระนาบวงโคจรที่เอียงออกจากแนวแกนหมุนของโลกมากกว่านี้ |
|
หมายเหตุ เกี่ยวกับ ไทยคม ดาวเทียมไทยคม 1 และ 2 เป็นดาวเทียมในสกุล Boeing 376L (เดิมเรียก Hughes 376) ซึ่งบริษัท Boeing ได้ทำการจัดสร้างขึ้นรวมทั้งหมด 56 ดวง จัดเป็นดาวเทียมสื่อสารที่มีราคาย่อมเยาเมื่อเทียบกับดาวเทียมสื่อสารรุ่นอื่นๆ สำหรับดาวเทียมไทยคมเองมีราคาต่ำกว่าดาวเทียมทั่วไปในรุ่นเดียวกัน เนื่องจากติดตั้งอุปกรณ์วิทยุน้อยกว่าดาวเทียมอื่นๆ บริษัทเจ้าของดาวเทียมเลือกที่จะเพิ่มเชื้อเพลิงในการปรับวงโคจร แทนการติดตั้งระบบสื่อสาร เพื่อทำให้ดาวเทียมมีอายุใช้งานนานกว่าดาวเทียมในมาตรฐานเดียวกัน (13.5 ปี แทนที่จะเป็น 8-10 ปี เหมือนดาวเทียมที่ดำเนินการโดยผู้ประกอบการทั่วไปในประเทศอื่น) โดยยอมลดจำนวน transponders ลง บริษัทเจ้าของดาวเทียมจ้างบริษัท Boeing Satellite System (บริษัท Hughes ในขณะนั้น) ของสหรัฐอเมริกา ในการสร้างดาวเทียม ติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมในประเทศไทย และอบรมพนักงานของบริษัทในราคาเพียง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2500 ล้านบาท ในปี 1991 โดยรัฐบาลไทยในขณะนั้น ยอมให้สัมปทานผูกขาดกับบริษัทเจ้าของดาวเทียมยาวนานถึง 30 ปี ทั้งที่ขณะนั้นประเทศไทยมีการใช้ระบบดาวเทียมอย่างแพร่หลายในประเทศไทยอยู่แล้ว และอายุดาวเทียมโดยปกติจะประมาณ 10 ปี (ซึ่งหมายความว่าจุดคุ้มทุนของดาวเทียมจะต่ำกว่า 10 ปี สำหรับการให้บริการดาวเทียมในประเทศอื่นๆ ซึ่งมีค่าเช่าสัญญาณถูกกว่าประเทศไทย เนื่องจากไม่มีการผูกขาด) การยกประโยชน์ผูกขาดให้กับบริษัทที่ลงทุนในดาวเทียมดังกล่าว ทำให้บริษัทผู้ผลิตดาวเทียมถึงกับให้ข้อมูลการลงทุน และรายละเอียดที่น่าสังเกตเหล่านี้ใน web page ของ Boeing เลยทีเดียว |
เครื่องวัดของระบบรีโมทเซนซิง จะทำการวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ 3 ลักษณะคือ
วัดความเปลี่ยนแปลงระหว่างความถี่ของสัญญาณที่ส่ง กับสัญญาณที่สะท้อนกลับ เพื่อพิจารณาทิศทางการเคลื่อนที่ของสิ่งที่กำลังสังเกต (เรดาร์วัดอัตราการเคลื่อนที่ของพายุ โดยใช้หลักของ Dopplers)
องค์ประกอบของภาพ ประกอบด้วย
ในการแปลความหมายส่วนต่างๆ ของภาพ อาจใช้องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง หรือหลายๆ องค์ประกอบผสมกัน
กำลังแยกของข้อมูล ที่จะต้องพิจารณาคือ
กำลังแยกเชิงพื้นที่ (spatial resolution) เป็นการวัดว่าเครื่องมือวัดจะสามารถแยกของสองอย่างออกจากกันถ้าของสองสิ่งนั้นอยู่ห่างกันอย่างน้อยที่สุดเท่าใด ถ้าของสองสิ่งอยู่ใกล้กันเกินไป เครื่องมือวัดจะไม่สามารถแยกของคู่นั้น และจะเห็นรวมเป็นของสิ่งเดียว | |
กำลังแยกตามย่านความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (spectral resolution) เป็นการวัดว่าเครื่องมือสามารถจำแนกสีต่างๆ ได้ละเอียดเพียงใด เราสามารถแยกประเภทของต้นไมที่สังเกตด้วยภาพสีได้ดีกว่าด้วยการสังเกตจากภาพขาวดำ | |
กำลังแยกตามความละเอียดของเครื่องมือวัด (radiometric resolution) เป็นการระบุว่าเครื่องมือสามารถจำแนกโทนสีได้มากน้อยเพียงใด |
|
กำลังแยกตามเวลาของระบบ (temporal resolution) |
Dopplers effect ปรากฏการณ์การเปลี่ยนความถี่ของคลื่น ถ้าผู้สังเกต ตัวสะท้อนคลื่น
และตัวกลางของคลื่น มีความเร็วสัมพัทธ์ต่อกันเท่ากับศูนย์ (ทุกอย่างอยู่นิ่งกับที่)
ความถี่ของคลื่นที่ออกจากแหล่งกำเนิด และความถี่ที่ผู้สังเกตวัดได้ จะมีค่าคงที่
แต่ถ้ามีการเคลื่อนที่ทำให้มีความเร็วสัมพัทธ์ต่อกัน ความถี่ที่ผู้สังเกตวัดได้จะต่างจากความถี่ของคลื่นที่ออกจากแหล่งกำเนิด ความเร็วสัมพัทธ์ที่เกิดขึ้นสามารถคำนวณหาค่าได้จากค่าความถี่ที่เปลี่ยนไป
(Doppler shift)
เราสามารถจำแนกดาวเทียมที่มีการใช้งานในส่วนของพลเรือน ออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร โดยมากเป็นดาวเทียมค้างฟ้าที่มีวงโคจรตามระนาบเส้นศูนย์สูตรของโลก (เช่น ดาวเทียมไทยคม) เป็นดาวเทียมที่มีเทคโนโลยีต่ำที่สุด โดยพื้นฐานจะเป็นดาวเทียมที่ทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ทวนสัญญาณในช่วงคลื่นวิทยุ
ดาวเทียมเพื่องานอุตุนิยมวิทยา เป็นดาวเทียมที่อาจมีวงโคจรแบบดาวเทียมค้างฟ้า (เพื่อสังเกตการเคลื่อนที่ของมวลอากาศได้อย่างต่อเนื่อง) เช่น ดาวเทียม GMS หรือแบบระนาบวงโคจรเกือบผ่านแกนหมุนของโลก แต่มีระดับโคจรที่สูง เช่นดาวเทียม NOAA
ดาวเทียมที่ใช้ในการสำรวจและศึกษาธรรมชาติ เป็นดาวเทียมที่มีความซับซ้อนในเรื่องของวงโคจร และอุปกรณ์ในการสำรวจ ดาวเทียมเหล่านี้นอกจากส่วนของตัวยานดาวเทียม และส่วนสื่อสาร แล้วยังจะต้องมีส่วนของเครื่องมือสำรวจ โดยดาวเทียมแต่ละดวงจะมีอุปกรณ์แตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของดาวเทียม
ตัวอย่างดาวเทียมสำรวจได้แก่
เทคโนโลยีรีโมทเซนซิง ได้ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ในการศึกษาสำรวจสภาพแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติอย่างกว้างขวาง ความสามารถในการบันทึก และสำรวจภาพข้อมูลได้เป็นบริเวณกว้าง ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งบางพื้นที่อาจเข้าถึงได้ยาก หรืออาจเป็นอันตรายที่จะเดินทางเข้าไปสำรวจ เช่นในพื้นที่ที่เกิดไฟป่า ในป่าลึก กลางมหาสมุทร ก็สามารถใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้มาช่วยได้อย่างมีประสิทธิผล
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีรีโมทเซนซิงมีอยู่หลายด้าน โดยอาจจำแนกประเภทได้ดังนี้